Metaverse

หนึ่งใน Keyword ทางด้านเทคโนโลยีที่สำคัญประจำปี คงไม่อาจข้าม คำว่า "Metaverse" ไปได้ แท้จริงแล้วมันคืออะไร เราจะไปเรียนรู้พร้อม ๆ กันผ่านบทความนี้

Metaverse นั้นไม่ได้เป็นคำใหม่แต่อย่างใด คำนี้ถูกใช้ครั้งแรกในปี 1992 ในนิยายเรื่อง Snow Crash ของ Neal Stephenson โดยผู้เขียนได้นำเอาคำสองคำมารวมกันซึ่งก็คือคำว่า

Meta ในภาษากรีก ซึ่งเป็นคำนำหน้าคำศัพท์อื่น (-prefix) เพื่อเน้นย้ำให้เห็นถึงขอบเขตของสิ่งนั้น ๆ ว่ามันครอบคลุมไปถึงไหน ในภาษาอังกฤษมักจะใช้คำนี้เพื่อบ่งบอกถึงคำอธิบายของคำที่ต่อท้าย เช่น metadata ซึ่งหมายถึง ข้อมูลของข้อมูลอีกที เช่น ข้อมูลนี้ถูกสร้างโดยใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ หรืออาจจะเป็นคำว่า meta-joke หรือมุกซ้อนมุก หรือ meta-emotion ซึ่งหมายถึงโครงสร้างทางอารมณ์ในทางจิตวิทยา เป็นต้น

-verse นั้นมาจากคำว่า Universe หรือจักรวาลนั่นเอง

ดังนั้นเมื่อสองคำมารวมกันจึงหมายถึง จักรวาลเหนือจักรวาล หรืออาจจะแปลความหมายได้ว่า จักรวาลเหนือจินตนาการ หรือจักรวาลคู่ขนาน ก็ฟังดูไม่น่าเกลียด คำนี้มีผู้ให้คำจำกัดความไว้ค่อนข้างหลากหลาย และนี่คือหนึ่งในคำจำกัดความที่ฟังดูเข้ากับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้มากที่สุด

A social construction that leverage the  Web 3.0, Blockchain and Computer interfaces where individual build customs, habits and values that allow them to spend time and socialize in the virtual world using their digital identities

สรุปโดยย่อคือ ทุกคนเป็นเจ้าของสิ่งเราสร้างขึ้นมาในโลก social network จริง สิ่งของที่สร้างขึ้นมานั้นมีมูลค่าจริง ตัวตนเสมือนที่อยู่บน network นั้นมีตัวตนจริง

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เราสร้างหรือข้อมูลที่เราป้อนเข้าสู่ระบบ network เช่นบทความบน Facebook รูปบน Instagram แชทบน Line หรือข้อความที่ทวิตทุกวันบน Twitter สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย ข้อมูลเหล่านี้เป็นของบริษัทที่เป็นเจ้าของ platform เหล่านั้นโดยสิทธิ์ขาด บริษัทเหล่านี้สามารถนำข้อมูลที่เราป้อนเข้าไปไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตใคร แม้แต่เราซึ่งเป็นผู้ป้อนข้อมูลนั้น ๆ

ในทางโครงสร้างเรียกว่า Centralize คือ ข้อมูลต่าง ๆ ไปรวมกันอยู่ที่ใดที่หนึ่ง จุดใดจุดหนึ่ง และผู้ที่ครอบครองข้อมูลสามารถผูกขาดการใช้ข้อมูลได้อย่างอิสระ

สำหรับโครงสร้าง Network แบบใหม่นัันใช้หลักการ Decentralize คือการกระจายข้อมูลไปใน Network เพื่อป้องกันการผูกขาดการใช้ข้อมูลจากบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง ทุกคนเป็นเจ้าของข้อมูลที่ตนเองสร้างขึ้นมา ทุกคนใน network มีหน้าที่ดูแลรักษาข้อมูลร่วมกัน


ตำแหน่งของ Metaverse 

เราจะเป็นเจ้าของสิ่งของที่ไม่มีอยู่จริง จับต้องไม่ได้ ได้อย่างไร?

Metaverse นั้นจะเกิดขี้นไม่ได้หากไม่มี non-fungible tokens หรือ NFT ที่ทำหน้าที่รับรองสิทธิความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ที่สร้างขึันมาบนระบบ Network หรือ Internet ดังนั้น NFT จึงถือเป็นกุญแจที่ใช้สำหรับไขเข้าสู่โลก Metaverse


Metaverse ประกอบด้วยเทคโนโลยีอะไรบ้าง?

Metaverse นั้นไม่สามารถเกิดขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยว หรือพัฒนาจากเทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่หลายอย่างมาประกอบกัน พัฒนาให้มันทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

VR, AR, MR และ XR

https://envision-is.com/xr/

VR นั้นย่อมาจากคำว่า Virtual Reality ซึ่งหลายคนอาจจะเพิ่งได้ยินมาเมื่อไม่กี่ปีนี้ แต่แท้ทีจริงแล้วเทคโนโลยีนี้ถูกคิดค้นและพัฒนามาตั้งแต่ต้นยุคทศวรรษ 90 ภายใต้ไอเดียที่ว่า เราสามารถไปได้ทุกหนแห่ง เพียงแค่สวมแว่นตานี้เท่านั้น มันอาจจะฟังดูห่างไกลความจริง ณ ตอนนั้น แต่ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมาเทคโนโลยีนี้ได้ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อย ๆ

VR ในยุค 90s

VR ในปัจจุบันนั้นถูกพัฒนาจนสามารถนำมาใช้งานได้จริงในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ เกมส์ การศึกษา กีฬา ตลอดจนถึงการเทรนนิ่งต่าง ๆ

VR ในปัจจุบัน

AR ย่อมาจากคำว่า Augmented Reality ซึ่งเป็นการนำวัตถุต่าง ๆ ที่จับต้องได้ประกอบเข้ากับสิ่งจำลองที่สร้างจาก Computer เพื่อสร้างเป็นวัตถุใหม่ในรูปแบบ 3D

Augmented Reality

MR หรือ Mixed Reality คือการผสานกันระหว่างโลกความจริง กับโลกเสมือนจริงเข้าด้วยกัน แล้วสร้างให้เกิดสภาพแวดล้อมใหม่ที่ซึ่งสภาพแวดล้อมทั้งสองสามารถตอบสนองซึ่งกันและกันได้

Mixed Reality

XR หรือ Extended Reality คือการนำเทคโนโลยีทั้งสามประเภทคือ VR, AR และ MR มาหลอมรวมกัน


Metaverse นั้นนอกจากจะประกอบไปด้วยเทคโนโลยีหลายอย่างแล้ว ยังแยกการทำงานออกเป็นหลาย Layer โดยแต่ละ Layer ก็จะทำหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป

Infrastructure Layer

Layer นี้ถือเป็นรากฐานของ Metaverse ซึ่งทุกอย่างบน Layer นี้จะทำงานอยู่ในรูปแบบ blockchain protocol ทำหน้าที่ในการจัดเก็บสินทรัพย์ดิจิตอลต่าง ๆ เช่น Ethereum, Solana, Polygon เป็นต้น ชั้นนี้ยังเป็นต้นกำเนิดของ Web 3.0

Web 3.0 Revolution
Web 1.0 นั้นเกิดขึ้นในยุค 90 ซึ่งเราเรียกยุคนี้ว่า Information Economy ซึ่ง Website มีความสามารถจำกัดเฉพาะการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเท่านั้น การสื่อสารนั้นเป็นไปในลักษณะการทำสื่อสารทางเดียว (one way communication)
Web 2.0 อยู่ในช่วย 2000-2020 ซึ่งเรียกว่ายุค Platform Economy ซึ่งเป็นยุคที่ผู้ใช้งานสามารถโต้ตอบกับระบบได้ เป็นยุคที่บริษัทเกิดใหม่ผู้เป็นเจ้าของ Platform ต่าง ๆ เติบโตอย่างก้าวกระโดด เช่น Facebook, Twitter, Amazon, Alibaba เป็นต้น
Web 3.0 นั้นเริ่มมาตั้งแต่ปี 2020 ซึ่งเราเรียกยุคปัจจุบันนี้ว่า Token Economy เป็นยุคที่เราไม่เพียงแต่มีปฏิสัมพันธ์กับระบบ Internet เท่านั้นเรายังสามารถเป็นเจ้าของสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่บนโลก Internet ได้อย่างแท้จริง

Token Layer

คือ Layer ที่ใช้ Token เป็นเสมือนสกุลเงินดิจิตอลสำหรับใช้แลกเปลี่ยนสิ่งของต่าง ๆ ภายในเกมส์หรือ Metaverse นั้น ๆ เช่น SAND ของ Sandbox, AXS ของ Axie Infinity, MANA ของ Decentraland เป็นต้น บาง Token ใช้ได้เฉพาะ Metaverse ใด Metaverse หนึ่งเท่านั้น ในขณะเดียวกัน Token ของบางอันสามารถใช้และเปลี่ยนเป็น Token อื่น ๆ ได้บน Exchanges รวมถึงขายออกไปเป็นเงินจริง ๆ ได้

https://coinmarketcap.com/view/metaverse/

Land Layer

สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของ Metaverse นั้นคือ Virtual Real Estate หรืออสังหาริมทรัพย์เสมือน ผู้คนสามารถเป็นเจ้าของและซื้อขายอสังหาเหล่านั้นได้ดังเช่นอสังหาริมทรัพย์ปกติ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่ใช้สำหรับยืนยันสิทธิความเป็นเจ้าของนั้นคือ NFT การที่เราจะสร้างสิ่งปลูกสร้าง ไม่ว่าจะเป็น บ้าน ห้าง ร้าน หรืออะไรก็ตามบน Metaverse นั้น เราจำเป็นต้องมีที่ดินเหมือนกับในโลกแห่งความเป็นจริง และที่ดินบน Metaverse นั้นมีจำนวนจำกัด ดังนั้นมันจึงมีมูลค่า และมีการเก็งกำไรเกิดขี้น ไม่ว่าจะเป็นที่ดินบน Decentraland, Sandbox, Somnium Space หรืออื่น ๆ

NFTs Layer คือสินทรัพย์ส่วนบุคคล เช่น Avatar, Game Item, งานศิลปะ ต่าง ๆ ที่ผู้คนเป็นเจ้าของ สิ่งเหล่านี้มีมูลค่า สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้


Metaverse นั้นยังอยู่ในช่วงต้นยุค ดังนั้นจึงมีโอกาสมากมายที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับพัฒนาการของยุค ความก้าวหน้าในแต่ละส่วนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลากหลายมิติ หากสามารถเกาะกุมโอกาสเหล่านั้นไว้ได้ ย่อมสามารถประสบความสำเร็จได้ ดังเช่นบริษัทต่าง ๆ ที่เคยทำสำเร็จมาแล้วในอดีตแต่ละยุคสมัย เช่น Facebook, Twitter

Photo by Brayden Law / Unsplash