Secrets of the Millionaire Mind ปฐมบท
พูดถึงความมั่งคั่ง ร่ำรวย คงไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่มีความต้องการเหล่านี้ แต่จะมีซักกี่คนที่ประสบความสำเร็จในสิ่งเหล่านี้จริง ๆ หากคิดกันคร่าว ๆ ตามทฤษฏี Pareto แล้วจำนวนประชากรเพียง 20% เท่านั้นที่มีความมั่งคั่ง ร่ำรวย ในขณะที่อีก 80% คือคนชั้นกลางและคนจน แต่หากมองให้ละเอียดลงไปอีก อัตราส่วนผู้ที่มั่งคั่งร่ำรวยอย่างแท้จริงจะลดลงไปอยู่ในหลักหน่วย ด้วยตัวเลขที่แตกต่างกันอย่างเป็นอย่างมากทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า คนที่ร่ำรวยเหล่านั้น แตกต่างจากคนชั้นกลางและคนจนอย่างไร? ทำไมถึงมีคนเพียงน้อยนิด ที่ประสบความสำเร็จในด้านนี้?
ทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนแล้วแต่มีคู่ของมันเสมอ เช่น ขาวคู่กับดำ ความมืดคู่กับแสงสว่าง ความร้อนรุ่มคู่กับความเย็นสบาย หลักการทางการเงินก็เช่นกัน การจับคู่ของหลักการทางการเงินแบ่งออกเป็นภายนอก กับภายใน หลักการภายนอกเช่น ความรู้ทางธุรกิจ ความสามารถในการบริหารจัดการด้านการเงิน หรือกลยุทธ์ในการลงทุนต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง แต่มันไม่สามารถช่วยให้เราร่ำรวยได้อย่างมั่นคงหากปราศจากความสำคัญของสิ่งที่เป็นคู่ของมัน นั่นคือหลักการภายใน หากจะยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจน หลักการทั้งสองนี้ก็เปรียบเหมือนกับช่างไม้กับเครื่องมือของเขา ถ้าช่างเก่งแต่เครื่องมือไม่มีประสิทธิภาพ งานก็ออกมาไม่ดีหรือเครื่องมือดี แต่ช่างไม้ไม่มีฝีมือ ผลลัพท์ก็คงไม่ต่างกัน แต่ถ้าช่างไม้เก่งประกอบกับมีเครื่องไม้เครื่องมือที่ดี งานย่อมออกมาดีที่สุด ดังนั้นหลักการภายนอกที่ดี คู่กับหลักการภายในที่ถูกต้อง ถึงจะช่วยให้ร่ำรวยได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
คนส่วนใหญ่รู้จักหลักการภายนอกเป็นอย่างดี เพราะหลักการนี้เป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้ มองเห็น หรือแม้กระทั่งสัมผัสได้ ไม่ว่าจะเป็นหลักการดำเนินธุรกิจ การวางแผนทางการเงิน การกำหนดกลยุทธในการลงทุน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เปิดสอนอยู่ในหลากหลายสถาบันการศึกษา แต่หลักการภายในนั้นกลับเป็นสิ่งที่เร้นลับ ที่น้อยคนจะเข้าใจอย่างถ่องแท้
หลายคนเชื่อว่าการที่จะประสบความสำเร็จนั้นเป็นเรื่องของโชคชะตา ที่ดลบันดาลให้เขาเหล่านั้นไปอยู่ถูกที่ ถูกเวลา แต่แท้ที่จริงแล้ว คนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตจริงๆ แค่อยู่ถูกที่ถูกเวลาอย่างเดียวไม่พอ ต้องเป็นคนที่มีหลักคิดที่ถูกต้องด้วย ถูกที่ถูกเวลาแต่คนที่อยู่ตรงนั้นไม่มีแนวความคิด (Mind Set) ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ สิ่งที่จะทำให้ประสบความสำเร็จประกอบไปด้วยสามส่วนหลัก คือ อุปนิสัย ความคิดและความเชื่อ
หลายคนคงเคยสงสัยว่า ทำไมบางคนมีเงินเดือนสูงแต่กลับเป็นคนถังแตกที่ชักหน้าที่ไม่ถึงหลัง ทำไมบางคนหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ แต่กลับไม่มีเงินเก็บออมสะสมไว้ ทำไมบางคนเริ่มต้นธุรกิจได้อย่างสวยหรู แต่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่าในตอนท้าย ทำไมบางคนได้โอกาศที่ดีเยี่ยมแต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ หากเรามองสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้จากมุมมองภายนอก เราคงบอกได้แต่เพียงว่าคนเหล่านี้โชคไม่ดี ที่ต้องประสบกับชะตากรรมเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญกับพิษเศรษฐกิจ หรือความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ แต่แท้ที่จริงแล้ว สาเหตุหลักของความล้มเหลวเกิดจากสิ่งที่มีความสำคัญกว่านั้น สิ่งที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า สิ่งที่เรียกว่าหลักการภายในนั่นเอง ซึ่งหลักการภายในที่เราพูดถึง คือ ความคิด ทัศนคติ ความเชื่อ ของบุคคลนั้น
ความคิด ทัศนคติ และความเชื่อในทางการเงินเรียกสั้นๆ ว่า Money Blueprint หรือพิมพ์เขียวทางการเงิน สิ่งนี้ต่างหากที่จะเป็นตัวกำหนดว่าใครจะประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลวที่แท้จริง ปัจจัยภายนอกมีผล แต่ปัจจัยภายในมีอิทธิพลมากกว่านัก ถ้าเราบังเอิญได้รับโชคลาภก้อนใหญ่ในขณะที่เรายังไม่มีความพร้อม ความร่ำรวยจะอยู่กับเราเพียงชั่วคราว ยกตัวอย่างเช่นการถูกลอตเตอร์รี่ จากการเก็บสถิติของคนที่ถูกลอตเตอร์รี่รางวัลใหญ่ ๆ พบว่ามีเพียง 1% เท่านั้นที่สามารถรักษาความร่ำรวยไว้ได้ อีก 99% จะกลับมาอยู่ในสถานะเดิมภายใน 3-5 ปี แสดงให้เห็นว่าหากไม่แก้ใขพิมพ์เขียวทางการเงินให้ถูกต้อง ต่อให้มีทรัพย์สินเงินทองเท่าไหร่ก็จะยากที่จะรักษาไว้ได้
ในทางตรงกันข้าม คนที่ร่ำรวยจากการสร้างเนื้อสร้างตัว ล้วนแล้วแต่มี Money Blueprint ที่ถูกต้องและชัดเจน คนเหล่านี้ต่อให้วันนี้เขาสูญเสียเงินทั้งหมดที่มีอยู่ เขาก็สามารถที่จะหามันกลับมาใหม่ได้ เพราะสิ่งที่เขาสูญเสียเป็นเพียงผลลัพท์ส่วนหนึ่งเท่านั้น เขาไม่ได้สูญเสียส่วนที่สำคัญที่สุดนั่นคือ Money Blueprint ที่เขามี คนจำนวนมากยังขาดความเข้าใจในส่วนนี้ เหตุเพราะส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่เรามองเห็นเพียงอย่างเดียว เราเชื่อในสิ่งที่เรามองเห็น แต่ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้นมีทรงพลังยิ่งกว่ามากนัก Money Blueprint ซึ่งประกอบไปด้วยความคิด ทัศนคติและความเชื่อทางด้านการเงิน สิ่งเหล่าล้วนแต่เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่มีอิทธิพลมากพอในการกำหนดชะตาชีวิตของเรา ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจน เป็นคนที่ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว
Money Blueprint คืออะไร มีต้นกำเนิดจากที่ใด? หากจะแปลตรงตัว Blueprint ก็คือพิมพ์เขียวของบ้านหรือแปลนบ้าน ซึ่งเป็นแม่แบบสำหรับสร้างบ้าน ดังนั้น Money Blueprint ก็คือพิมพ์เขียวทางการเงิน ที่ใช้สำหรับเป็นแนวทางในการสร้างความร่ำรวยมั่งคั่ง ซึ่งมีสูตรหรือกระบวนการในการก่อกำเนิดดังนี้
T->F->A=R : Thoughts lead to Feelings, Feelings lead to Actions, Actions lead to Result
ความคิดนำไปสู่ความรู้สึก ความรู้สึกนำไปสู่การกระทำ และการกระทำไปสู่ผลกรรม จะเห็นได้ว่าความคิดคือจุดเริ่มต้นของการบวนการทั้งหมด ดังนั้นผลลัพท์หรือจะพูดให้ถูกคือ ผลกรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา ล้วนเริ่มต้นมาจากความคิดของเราเองทั้งนั้น หากว่าผลลัพท์ในปัจจุบันของเราคือความขัดสน ยากจน สิ่งแรกที่เราต้องแก้ไขคือความคิดของเรา เราไม่สามารถแก้ไขผลลัพท์ได้ดังเช่นที่เราไม่สามารถแก้ไขผลไม้ให้หอมหวานได้โดยปราศจากการให้ปุ๋ยบำรุงราก ในเรื่อง The Roots Create the Fruits ถ้าเราพยายามแก้ไขที่ผลลัพท์ ต่อให้ทำได้สำเร็จก็เป็นแค่เพียงชั่วคราว
เมื่อรู้ต้นกำเนิดของผลลัพท์ในชีวิตเราแล้ว คำถามถัดมาคือ แล้วความคิดมาจากไหน? ความคิดเกิดมาจากจิตใต้สำนึก จิตใต้สำนึกก่อร่างสร้างตัวมาจากประสบการณ์ในชีวิต สังคม การเลี้ยงดูตั้งแต่เด็ก นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่า ในเรื่องเดียวกัน ความคิดเห็นของแต่ละคนแตกต่างกันไป คนรวยก็มีวิธีคิดแบบคนรวย และแน่นอนว่าคนจน ย่อมมีวิธีคิดแบบคนจน เพราะคนทั้งสองกลุ่มเกิดและเติบโตในสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูสั่งสอนที่แตกต่างกัน ดังนั้นหากเราอยากรวย ก็ต้องคิดแบบคนรวย แต่การจะปรับเปลี่ยนแนวความคิดไม่สามารถสำเร็จได้ภายระยะเวลาอันสั้น ต้องอาศัยความมีวินัยและอนทนในการฝึกฝน อย่างเข้มงวด
คำถามถัดมาคือ คนรวยเขาคิดกันยังไง? แน่นอนว่าเราจะคิดแบบคนรวย อย่างแรกคือเราต้องรู้ก่อนว่าคนที่ร่ำรวยมั่งคั่งเขาคิดยังไงก่อน แต่ก่อนที่เราจะไปถึงจุดนั้นอย่างแรกที่เราต้องทำคือปรับพื้นฐานทางความคิดของเราที่มีต่อเรื่องเงินทองหรือความมั่งคั่งร่ำรวยก่อน เพราะว่าสิ่งนี้จะส่งผลต่อจิตใต้สำนึกโดยตรง ก่อให้เกิดอิทธิพลทางความคิด ซึ่งสิ่งที่เราต้องปรับปรุงแก้ไข ประกอบด้วยสามหัวข้อดังต่อไปนี้
Verbal Programming : สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เด็ก เช่น เงินคือต้นเหตุแห่งความชั่วร้าย คนรวยคือพวกโลภมาก พวกเศรษฐีล้วนแล้วแต่มือสกปรก จงทำงานหนักเพื่อให้ได้เงิน เงินซื้อความสุขไม่ได้ เรามันจน เราไม่มีวันรวยอย่างเขา เราไม่มีบุญ และอีกมากมายที่ส่งผลเชิงลบต่อทัศนคติด้านการเงินของเรา คนส่วนใหญ่ล้วนถูกปลูกฝังให้เป็นคนดี เราถูกสั่งสอนให้เป็นคนดีนับตั้งแต่เราจำความได้ ดังนั้นความมุ่งมั่นที่จะเป็นคนดีจึงถูกฝังสู่จิตใต้สำนึกของเรา แต่สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับเศรษฐี ผู้มั่งคั่งมั่งมี หรือเกี่ยวกับเงินทอง ล้วนแต่อยู่ตรงข้ามกับความดีทั้งสิ้น เช่นเรามักได้ยินว่า พวกคนรวยคือคนชั่ว จิตใต้สำนึกของเราจะบอกเราว่าถ้าอยากเป็นคนดี เราต้องไม่เป็นคนรวย เมื่อจิตใต้สำนึกบอกเช่นนั้นย่อมส่งผลต่อ ความคิด->ความรู้สึก ->การการกระทำ->ผลลัพท์ ความร่ำรวยมั่งคั่งกลายเป็นเรื่องต้องห้ามที่จิตใต้สำนึกคอยย้ำเตือนบอกอยู่ตลอดเวลา ผลก็คือต่อให้เรามีรายได้มากแค่ไหน ท้ายที่สุดจะมีเหตุให้จับจ่ายมันออกไปจนแทบจะไม่เหลือเก็บ หรืออีกตัวอย่างหนึ่งคือ ต้องทำงานถึงจะได้เงิน คนที่มีความเชื่อและทัศนคติแบบนี้ มักจะทำงานอย่างหนักแต่มีรายได้ไม่พอใช้จ่าย แต่ในความเป็นจริงผู้ที่ร่ำรวยมั่งคั่งเขาไม่ได้ต้องทำงานหนักแต่ทำไมเงินทองเขาถึงเพิ่มพูลขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ถ้าทำงานหนักแล้วร่ำรวย พวกเศรษฐีจะเป็นพวกที่จนที่สุดเพราะพวกนี้ทำงานน้อยที่สุด แต่ในโลกของความเป็นจริงมันกลับตาลปัตรกัน องค์ประกอบสี่อย่างที่เราต้องแก้ไขคือ
- Awareness: ความตระหนักรู้ เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามที่เราไม่รู้ว่ามันมีอยู่จริง เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงจิตใต้สำนึกได้หากเราไม่รู้หรือไม่เชื่อว่ามันมีอยู่จริง
- Understanding : การจะเปลี่ยนแปลงความคิด เราต้องเข้าใจที่มาของกระบวนการในการคิดเสียก่อน ต้องหาต้นเหตุแห่งความคิดนั้น ๆ เสียก่อน และต้นเหตุเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยจากภายนอก เช่นประสบการณ์ การรับรู้ ต่าง ๆ ในวัยเด็ก
- Disassociation : ลด ละ เลิก เมื่อรับรู้ว่า กระบวนการในการคิดไม่ถูกต้อง เราสามารถเลือกที่จะแก้ไขปรับปรุงมันให้ถูกต้อง หรือเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ สิ่งที่เราคิดมีพื้นฐานมาจากสิ่งที่เรารับรู้ ข้อมูลที่เรามีอยู่ในหัว หากสิ่งที่เรารับรู้มา ข้อมูลที่เรามีไม่ถูกต้องย่อมส่งผลให้สิ่งที่เราคิดมันผิด
- Reconditioning: ปรับปรุงซ่อมแซมข้อมูลที่เรามีอยู่ให้ถูกต้อง อะไรที่ได้ยินได้ฟังมาผิด ๆ ก็ค้นหาคำตอบที่มันถูก ความเชื่อต่าง ๆ ก็ต้องหาข้อพิสูจน์ให้แน่ชัด
Modeling: สิ่งที่คุณเห็นมาตั้งแต่เด็ก สถานะทางการเงินของครอบครัวหรือผู้ปกครองเป็นเช่นไร? พวกเขาบริหารจัดการเงินที่ได้มาดีหรือไม่? พวกเขาจับจ่ายใช้สอยมันออกไปหมดหรือเก็บออมสะสมไว้? พวกเขารู้จักคิดอ่านวางแผนในการลงทุนหรือไม่? พวกเขาเป็นพวกที่ชอบแบกรับความเสี่ยงหรือเปล่า? พวกเขามีรายได้อย่างสม่ำเสมอหรือไม่? เงินทำให้มีความสุขหรือเป็นสาเหตุแห่งการทะเลาะเบาะแว้งกันในครอบครัว?
ข้อมูลพวกนี้สำคัญอย่างไร? เราทุกคนเคยได้ยินสำนวนที่ว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น บ่อยครั้งที่เราจะเห็นว่าเราทำบางสิ่งบางอย่างตามกันมาจากรุ่นต่อรุ่นโดยไม่รู้สาเหตุว่า เหตุใดต้องทำเช่นนั้น เราทำเช่นนั้นเพียงเพราะเราเห็นพ่อกระทำเช่นนั้น พ่อเราทำเช่นนั้นเพราะเห็นว่าปู่ทำเช่นนั้น ทำตามกันมาจนกลายเป็นความเชื่อโดยปราศจากการหาเหตุผลมารองรับ เรื่องเล่าที่เห็นชัดเจนที่สุดคือเรื่องการตัดหัวและท้ายของแฮมก่อนนำไปทำอาหาร เรื่องเล่ามีอยู่ว่า ทุกครั้งที่ภรรยานำแฮมมาทำอาหารมักจะตัดหัว ตัดท้ายออก ทำให้สามีสงสัยเป็นอย่างมาก วันหนึ่งเขาจึงถามภรรยาว่าทำไมต้องตัดหัวท้าย ภรรยาตอบว่าไม่รู้ แต่เห็นแม่ตัดทุกครั้งก่อนนำไปทำอาหาร บังเอิญวันนั้นแม่มาเยี่ยม เขาเลยถามแม่ว่าทำไมต้องทำเช่นนี้ แม่ตอบว่าไม่ทราบเช่นกันเห็นยายทำเช่นนี้มาแต่เด็ก ทั้งหมดเลยพร้อมใจกันโทรหาคุณยายเพื่อถามว่าทำไมต้องตัดหัวท้ายแฮมก่อนนำไปทำอาหาร คุณยายตอบว่า ก็เพราะตอนนั้นกะทะของยายมันเล็ก ไม่ตัดมาก็ยาวยื่นออกนอกกะทะทำให้ทอดไม่สุก
เรื่องเงินก็เช่นกัน สถานะทางการเงินของครอบครัวในวัยเด็กเราเป็นเช่นไร เรามีแนวโน้มที่จะลอกเรียนแบบแผนทางการเงินเหล่านั้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัว แต่ก็ไม่ทุกคนที่จะเป็นแบบนี้เสมอไป บางคนกลับลายเป็นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง บางคนครอบครัวร่ำรวยมั่งคั่งแต่พอถึงรุ่นลูกกับยากจนลงอย่างรวดเร็วเพราะเขาเห็นแต่เพียงด้านการใช้จ่ายเงินแต่เขาไม่ได้เรียนรู้ด้านการหาเงิน แต่ในขณะเดียวกันบางคนที่มาจากครอบครัวยากจนกลับร่ำรวยขึ้นมา โดยส่วนใหญ่จะได้รับแรงกระตุ้นจากความโกรธแค้นในความยากลำบากในขณะที่ครอบครัวขัดสน คนเหล่านี้ถึงแม้จะร่ำรวยแต่ก็จะไม่มีความสุข พวกเขาจะระบายความโกรธในวันเด็กผ่านการใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือย และพยายามหาเงินอย่างบ้าคลั่ง และไม่เลือกวิธีจนกลายเป็นรูปแบบของเศรษฐีหน้าเลือด หรือแม้กระทั่งพัฒนาไปในทางผิดกฏหมาย ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ นั่นเพราะว่าต้นเหตุของปัญหาไม่ใช่เงิน แต่คือความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความผิดหวัง ความรู้สึกเหล่านี้ไม่อาจแก้ได้ด้วยเงิน ดังนั้นหากอยากจะร่ำรวยมั่งคั่งอย่างยั่งยืน ต้องแก้ปัญหาพวกนี้ก่อนเป็นอันดับแรก ปัญหาเหล่านี้อยู่ในจิตใจเรา มีแต่เราเท่านั้นที่จะแก้ไขมันได้
Specific Incidents: ประสบการณ์ในวัยเด็กของเราที่เกี่ยวข้องกับเงินตรา ความมั่งคั่ง ความร่ำรวย และเศรษฐี ประสบการณ์ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเพราะมันจะกลั่นกลองออกมาเป็นความเชื่อและทัศนคติที่มีต่อเรื่องเหล่านี้ของเรา และแน่นอนว่าเมื่อมันเป็นความเชื่อและทัศนคติที่ฝั่งลึกลงไปในจิตใต้สำนึก ย่อมส่งผลโดยตรงต่อความคิดของเรา และความคิดก็นำไปสู่ความรู้สึก การกระทำ และผลลัพท์เป็นลำดับ ยกตัวอย่างเช่นเด็กหญิงไปขอเงินแม่ แม่มักจะบอกว่าแม่ไม่มีให้หรอก อยากได้ไปขอพ่อโน้น และแน่นอนว่าเด็กหญิงจะได้เงินจากพ่อเสมอ ทำให้เธอเชื่อว่าผู้ชายเท่านั้นที่มีเงิน ดังนั้นพอเติบโตแต่งงานออกไป ผู้หญิงคนนี้เชื่อว่าผู้หญิงไม่จำเป็นต้องมีเงินเพราะทุกอย่างสามีจะจัดการให้หมด ดังนั้นสามีให้เงินไว้เท่าไหร่หญิงสาวคนนี้จะใช้จ่ายมันออกไปทุกบาททุกสตางค์โดยไม่เหลือเก็บ นี่คือตัวอย่างของประสบการณ์ที่ส่งผลต่อความเชื่อ และแสดงออกมาในรูปแบบการกระทำ
ประสบการณ์ในวัยเด็กส่งผลโดยตรงต่อ Money Blueprint ของแต่ละคนแตกต่างกันออกไปและความแตกต่างนี้ก็ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตของเรา จากการสำรวจพบว่า หนึ่งในเหตุผลหลักที่ใหญ่ที่สุดของการหย่าร้างทั่วโลกมาจากเรื่องเงิน และความคิดเห็นทางการเงินที่แตกต่างกันก็เป็นเหตุผลใหญ่ที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน พี่น้อง หรือครอบครัวแย่ลง
นี่คือพื้นฐานหลักสามประการที่เราจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องแก้ใขปรับปรุง เป็นการบำรุงรากของต้นไม้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับดอกผลที่จะเบ่งบานในฤดูกาลถัดไปของชีวิต เมื่ออ่านถึงตรงนี้แล้วลองทบทวนดูว่า Money Blueprint เราเป็นอย่างไร มีส่วนไหนที่ต้องปรับปรุงแก้ไขหากอยากจะร่ำรวย และประสบความสำเร็จ สำหรับบทความถัดไปเราจะเริ่มเรียนรู้ว่าแนวคิดที่แตกต่างระหว่าง คนรวยกับคนจน