หนึ่งตำรา หมื่นพลิกแพลง

หนึ่งตำรา สอนคนร้อยพันหมื่น มีเพียงผู้รู้จักประยุกต์พลิกแพลงเท่านั้น ที่จะประสบความสำเร็จ ตำราพิชัยยุทธซุนวูนั้นมีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่ทราบกันดี ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ศึกษาพิชัยยุทธทั้งสิบสามบทจนทะลุปรุโปร่ง แต่ผู้ประสบความสำเร็จในการนำพิชัยยุทธเหล่านั้นไปใช้นั้นแทบจะนับนิ้วได้ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตำรา แต่อยู่ที่การนำความรู้ในตำราไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมตามสถานการณ์ต่างหาก


สำหรับผู้ที่รักในการพัฒนาตนเองแล้ว เชื่อว่าแต่ละคนล้วนผ่านการอ่านหนังสือมาไม่น้อย หลายครั้งที่รู้สึกว่า ยิ่งอ่านหนังสือมากเท่าไหร่กลับยิ่งรู้สึกว่าตนเองห่างไกลความสำเร็จมากขึ้นเรื่อย ๆ สาเหตุนั้นไม่ได้เกิดจากความถดถอยในการพัฒนาตนเอง แต่เกิดจากความรู้ที่กว้างขวางขึ้น ทำให้เรารู้จักโลกในมุมมองที่กว้างใหญ่ขึ้น จึงทำให้รู้สึกว่าตัวเองหดเล็กลง  ยามที่เรายังมีความรู้น้อยนั้นเปรียบดังเช่นกับการยืนอยู่หน้าแสงเทียนเล่มเล็ก ๆ เงาของเรานั้นช่างใหญ่โตมโหฬาร แต่เมื่อความรู้เพิ่มพูลขึ้น จากแสงสว่างของเทียนเล่มน้อย กลับกลายเป็นสปอร์ตไลท์ดวงใหญ่ เงาที่เคยใหญ่ก็หดเล็กลง

โลกในปัจจุบันนี้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างพยายามพัฒนาตนเองให้ทันโลกอยู่เสมอ หนึ่งในวิธีที่นิยมคือการอ่านหนังสือเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง บางคนตั้งเป้าหมายที่จะอ่านหนังสือให้ได้ปีละหลายร้อยเล่ม แต่ไม่เคยมีโอกาศที่จะนำความรู้จากหนังสือเหล่านั้นมาใช้จริง ถ้าความสำเร็จวัดจากจำนวนตำราที่ผ่านตา คนเหล่านี้คงเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัย แต่ในโลกของความเป็นจริง ผู้ที่รู้จักนำความรู้จากตำรามาประยุกต์ใช้ต่างหากถึงจะสามารถประสบความสำเร็จได้จริง

อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ผมไม่ได้หมายความว่าการอ่านนั้นไม่สำคัญ แต่มันคือสิ่งที่สำคัญไม่ต่างไปจากการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ ความรู้นั้นเปรียบเสมือนกระเป๋าเครื่องมือช่าง ถ้าจำเป็นต้องใช้ค้อนเปิดมามันจะมีค้อน ถ้าจำเป็นต้องใช้ใขควง ในนั้นก็จะมีใขควง แต่ถ้าในนั้นมีพร้อมทุกอย่าง แต่ไม่เคยเปิดใช้งาน ก็ไม่มีประโยชน์อันใด

ความสำเร็จนั้นเปรียบเสมือนงานฝีมือ ถึงแม้เรามีท่อนไม้สวย ๆ แต่หากปราศจากกล่องเครื่องไม้เครื่องมือ ท่อนไม้ก็เป็นได้เพียงท่อนไม้ท่อนหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าเรามีขอนโคนไม้ที่มีรากพะลุงพะลัง แต่เรามีเครื่องมือช่างที่ครบครัน ก็สามารถสรรค์สร้างให้มันเป็นงานไม้ที่วิจิตรงดงามได้ ถ้าเรามีความรู้ที่เพรียบพร้อม ต่อให้โอกาศอันน้อยนิด เราก็สามารถนำความรู้ที่มีมาพลิกแพลงสรรค์สร้างให้ประสบความสำเร็จได้ แต่หากเราไม่มีความรู้ ต่อให้โอกาศดีแค่ไหนมาอยู่ต่อหน้าก็มองไม่เห็น หรือถึงแม้มองเห็นก็ไม่สามารถทำอะไรได้


ตาข้างหนึ่งอ่านตำรา อีกข้างหนึ่งต้องคอยมองหาโอกาศที่จะนำความรู้ในตำรามาใช้ อย่าใช้ดวงตาทั้งสองจดจ้องอยู่แต่เพียงในตำรา เพราะพอคุณเงยหน้ามา โลกอาจจะก้าวหน้าไปไกลแล้ว ก็เป็นได้