Specialization

ผลลัพท์ที่ดีที่สุดจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อแต่ละคนได้ทำในสิ่งที่ตนเองถนัด หนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้ Startup เติบโตอย่างรวดเร็วคือการ Outsource สิ่งที่ไม่ถนัด ไม่เชี่ยวชาญออกไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านนั้น ๆ ทำ

ไม่มีอะไรที่จะทำให้สิ้นเปลืองพลังงานไปมากกว่าการพยามยามทำในสิ่งที่ไม่ถนัด และถึงแม้บางครั้งจะทำได้ แต่ผลงานที่ได้เมื่อเทียบกับเหล่าผู้เชี่ยวชาญแล้ว ก็อาจจะอยู่แค่ระดับพอใช้หรือดีเท่านั้น ยากที่จะทำได้ดีเยี่ยม

สำหรับบริษัท การทำเองหมดทุกอย่าง ทุกขั้นตอนนั้นหมายถึงการจ้างพนักงานใหม่เพิ่มเข้ามา การจ้างพนักงานเพิ่มหนึ่งคนนั้น ไม่ได้มีค่าใช้จ่ายเพียงเฉพาะเงินเดือนเท่านั้น ยังมีค่าใช้จ่ายแฝงอีกหลายอย่าง เช่นประกันสังคม ประกันอุบัติเหตุ เป็นต้น ดังนั้นการ การเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทที่ทำในเรื่องนั้น ๆ อยู่ จึงป็นการช่วยลดการจ้างงานให้กับ Startup ซึ่งนั่นหมายถึงการลดต้นทุนและเพิ่มรันเวย์ให้ยืดยาวยิ่งขั้น

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การช่วยย่นระยะเวลา การทำทุกอย่างทุกขั้นตอนทั้งหมดนั้น จำเป็นใช้เวลาที่ไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นหากเราต้องการผลิตขนมเพื่อส่งออกไปขายทั่วโลก และเราต้องการจัดการระบบขนส่งทั้งหมด นั่นหมายความว่าเราต้องใช้เวลาหลายปีในการสร้างระบบขนส่งสินค้า กว่าจะได้ส่งขนมออกไปขายทั่วโลกได้ การ Outsource สิ่งที่เราไม่ถนัดออกไป ยังช่วยให้เราโฟกัสในสิ่งที่เป็นวัตถุประสงค์หลักที่แท้จริง ลดการเสียเวลาไปกับองค์ประกอบอย่างอื่น แต่การจะทำได้แบบนี้ จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแนวความคิดในการบริหารงาน จากการบริหารโปรเจคไปเป็นการบริหารโพรเซสแทน โพกัสที่ขั้นตอนใด ขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญเท่านั้น

Manage process instead of project

เมื่อสามารถลดต้นทุน ย่นระยะเวลา โฟกัสเฉพาะวัตถุประสงค์หลักและสิ่งที่เราได้เปรียบคนอื่น (Unfaire Advantage) นั่นเท่ากับเป็นการเพิ่มโอกาศที่จะประสบความสำเร็จ และเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ยังลดความเสี่ยงที่จะล้มเหลวน้อยลงอีกด้วย

Do what you do best, and outsource the rest

ไม่เพียงแต่ Startup เท่านั้นที่มองหาพาร์ทเนอร์ องค์กรใหญ่ ๆ ในทุกวันนี้ต่างก็มองหาพาร์ทเนอร์เช่นกัน โดยเฉพาะพาร์ทเนอร์ที่เป็น Startup เพื่อป้องกันการถูก Disrupt องค์กรจำเป็นต้องพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยขนาดขององค์กรที่ใหญ่ย่อมมีความคล่องตัวน้อย ดังนั้นการเป็นพาร์ทเนอร์ หรือลงทุนในบริษัท Startup หรือแม้แต่การซื้อบริษัทเลย เป็นวิธีที่ง่ายกว่า ในฐานะผู้ประกอบการ เราไม่จำเป็นต้องมององค์กรใหญ่ ๆ เหล่านี้เป็นศัตรูทางธุรกิจที่เราต้องการทำลายเสมอไป แต่สามารถที่จะเป็นพาร์ทเนอร์ด้วย เพื่อช่วยให้บริษัทเติบโตได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น การได้เป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทใหญ่นั่นหมายความว่า มูลค่าของตัว Startup เองก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

ประเด็นหลักของ Switchup นี้คือการคิดในแนวขวาง มองทุกอย่างเป็นชั้น ๆ ใตร่ตรองดูว่าผลิตภัณฑ์ที่กำลังพัฒนานั้น สามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งที่บริษัทอื่นทำอยู่ได้อย่างไร จากนั้นก็เจรจาเป็นพาร์ทเนอร์แทนที่จะพัฒนาสิ่งนั้นขึ้นเอง ยกตัวอย่างเช่น AirBnb แพลตฟอร์มจองที่พักยักษ์ใหญ่ ที่ไม่มีห้องเป็นของตนเองแม้แต่ห้องเดียว เป็นต้น การจะเป็นพาร์ทเนอร์นั้น สิ่งสำคัญคือเราต้องกล้าที่จะแบ่งปันไอเดีย แนวคิดและวิธีการของเรากับพาร์ทเนอร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เลี่ยงที่จะทำ ทุกวันนี้ไม่มีอะไรที่เป็นความลับ เพราะทุกคนบนโลกสามารถเข้าถึง Search Engine ค้นหาในสิ่งที่ต้องการได้ภายในไม่กี่วินาที ในขณะที่ไอเดียเกิดขึ้นในหัวเรา อาจจะมีใครหลายคนลงมือพัฒนามันไปแล้วก็เป็นได้

Ideas are worth nothing unless they are well executed.

ทางเดียวที่จะป้องกันไม่ให้คนอื่นลอกเลียนแบบไอเดียของเรา คือการร่วมมือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันผลักดันไอเดียเหล่านั้นให้ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด ดีจนไม่มีใครอยากจะมาแข่งขันด้วย ถึงจะเป็นการป้องกันที่ยั่งยืน


Switchup 5: Iterations and Pivots