The Negative Art of Good Life.

Do nothing wrong and the right thing will happen.


แค่ไม่ทำในเรื่องที่แย่ ๆ สิ่งดี ๆ มันจะตามมาเอง

การที่เราไม่ทำเรื่องเลวร้ายหรือเรื่องแย่ ๆ ก็ถือเป็นการทำดีประเภทหนึ่ง สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนในตลาดหุ้นมักจะกล่าวถึงเมื่อพูดคุยเกี่ยวกับหุ้นแต่ละตัว คือคำว่า Upside กับ Downside ผู้เขียนซึ่งมีงานอดิเรกเป็นนักบินสมัครเล่นได้ยกเรื่องการขับเครื่องบินเป็นตัวอย่าง เพราะการบินก็เหมือนกับหุ้นประกอบด้วยสองส่วนสำคัญคือ Upside และ Downside สิ่งที่ผู้เขียนใส่ใจมากที่สุดในทุกๆ การบินไม่ใช่การบินให้สูง แต่คือการที่ทำอย่างไรจะไม่ให้เครื่องบินของเขาตกมากกว่า เพราะตราบใดที่เครื่องเขายังไม่ตก การบินที่สูงขึ้นๆ จะค่อยตามมาเอง

เขาใส่ใจกับ Upside น้อยมากเมื่อเทียบกับ Downside ทั้งก่อนทำการบินและระหว่างบิน เขาใส่ใจกับทุกความเป็นไปได้ที่อาจจะทำให้เครื่องเขาตกได้ ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ สภาพเครื่องยนต์ น้ำมัน และอื่น ๆ อีกมากมาย ใจความสำคัญคือเขารู้ว่าอะไรที่อาจจะทำให้เครื่องเขาตก และถ้าเขาหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ได้ เขาก็จะบินสูงได้เอง

ตัวอย่างที่สองที่ผู้เขียนยกมาคือการตีเทนนิสระหว่างผู้เล่นมือสมัครเล่นกับผู้เล่นมืออาชีพ สิ่งที่ผู้เล่นมืออาชีพต้องทำเพื่อเอาชนะมือสมัครเล่นไม่ใช่การตีลูกให้ดีที่สุด แต่คือการไม่ตีพลาดก็พอ เพราะผู้ชนะไม่ใช่คนที่ดีลูกใด้ดีที่สุดแต่คือคนที่ผิดพลาดน้อยที่สุด

สิ่งที่ผู้เขียนกล่าวถือไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่สมัยกรีก โรมัน ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Negative Theology หลักการพื้นฐานคือ เราบอกไม่ได้ว่าพระเจ้าคืออะไร แต่เราบอกได้ว่าอะไรที่ใม่ใช่พระเจ้า (You can’t say what God is, you can only say what God isn’t)

ถ้าเราใช้หลักการตั้งคำถามแบบนี้ในเรื่องของความสุขของชีวิต “เราบอกไม่ได้ว่าอะไรคือความสุขในชีวิตที่แท้จริง แต่เราบอกได้ว่าอะไรที่จะทำให้ชีวิตเราไม่มีความสุข”

อะไรที่ทำให้ชีวิตเรามีความสุข? นับตั้งแต่มนุษณ์ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ เราก็มุ่งแสวงหาความสุขที่แท้จริงมาตลอด จนก่อเกิดเป็นศาสนาต่าง ๆ ขึ้น ตราบจนถึงทุกวันนี้เรายังไม่รู้ว่าอะไรคือความสุขที่แท้จริง เหตุเพราะความสุขในมุมมองของแต่ละคนล้วนต่างกันออกไป.

แล้วอะไรที่ทำให้ชีวิตเราไม่มีความสุข? กับคำถามนี้กลับไม่ยากเกินไปที่จะตอบ การติดเหล้า การติดยา การพนัน การทะเลาะเบาะแว้ง และอีกหลายอย่าง สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยจะปราศจากความสุขเป็นแท้แน่นอน และ เราสามารถเลือกได้ เลือกที่จะอยู่ห่างจากมันหรือเกี่ยวข้องกับมัน เราอยากมีสุขเพียงชั่วคราว หรือยั่งยืนก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองเป็นผู้เลือก

สิ่งที่ Warren Buffet และ Charlie Munger เรียนรู้จากการลงทุนมาทั้งชีวิตคือ “เราไม่ได้เรียนรู้ว่าจะแก้ปัญหาทางธุรกิจที่ยุ่งเหยิงอย่างไร แต่สิ่งที่เราเรียนรู้คือ จะหลีกเลี่ยงธุรกิจที่มีปัญหาเหล่านั้นยังไง” เราไม่จำเป็นต้องให้ผู้คนชื่นชนว่าเราเป็นอัจฉริยะ แค่ไม่มองว่าเราเป็นคนโง่ก็เป็นพอ

จงเรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้ชีวิตเราตกต่ำ แล้วสิ่งดี ๆ ในชีวิตจะเกิดขึ้นเอง