Wyckoff in Depth - Part III
THE THREE FUNDAMENTAL LAWS
THE LAW OF SUPPLY AND DEMAND
Wyckoff นำกฏพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์มาประยุกต์ใช้กับตลาดทุน โดยกฏนี้มีอยู่ว่า เมื่อความต้องการมีมากกว่าปริมาณสินค้า ราคาของมันจะสูงขึ้น ในทางกลับกันเมื่อไหร่ก็ตามที่ปริมาณสินค้ามีมากกว่าความต้องการ ราคาสินค้าก็จะลดลง แต่หากสินค้าและความต้องการเสมอกัน ราคาสินค้าจะคงที่ มันเป็นไอเดียพื้นฐานที่ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่มักจะเข้าใจผิดว่าราคาขึ้นเพราะคนซื้อมากกว่าคนขายและราคาลงเพราะคนขายมากกว่าคนซื้อ ราคาและปริมาณการซื้อขายเป็นผลลัพท์จากปฏิสัมพันธ์ของ Demand และ Supply ที่เราต้องตีความเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ในตลาด ณ ขณะนั้น
NOTE: การเป็นเทรดเดอร์นั้นจำเป็นต้องเปลี่ยนมุมมองต่อสิ่งที่จะทำการเทรด ยกตัวอย่างเช่น หุ้น ต้องมองว่าหุ้นนั้นเป็นสินค้าสินค้าหนึ่ง เหมือนสินค้าทั่ว ๆ ไปในตลาด ส่วนสินค้านั้นจะดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของบริษัท ซึ่งแตกต่างจากนักลงทุน ซึ่งไม่ได้มองว่าหุ้นนั้นเป็นสินค้า แต่เป็นสินทรัพย์
THE LAW OF CAUSE AND EFFECT
เหตุและผล ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน เหตุการณ์หนึ่งเป็นเหตุนำไปสู่เหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นผล
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแต่มีสาเหตุ การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นก็เช่นกัน ก่อนที่มันจะเป็นเทรนขาขึ้นหรือเทรนขาลง มันต้องมีเหตุมาก่อน สาเหตุโดยทั่วไปของการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นคือการเปลี่ยนมือของหุ้น
ในแง่ของการเคลื่อนไหวของราคานั้นจะแบ่งออกเป็นสองช่วงคือ ช่วงก่อเหตุ และช่วงบังเกิดผล ช่วงก่อเหตุคือช่วง sideway ที่รายใหญ่เริ่มลงมือกระทำการบางอย่างกับหุ้น เช่นสะสมหุ้นในช่วง Accumulation หรือกระจายหุ้นในช่วง Distribution ส่วนผลลัพท์ คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังการกระทำของรายใหญ่เหล่านั้นเสร็จสิ้น
หัวใจสำคัญของกฎข้อนี้คือ ผลลัพท์นั้นแปลผันโดยตรงกับสาเหตุ เหตุดีย่อมให้ผลที่ดี เหตุเล็กผลก็เล็กตาม ช่วง Accumulation หรือ Distribution นานเท่าไหร่ เทรนที่เกิดหลังจากนั้นย่อมนานเท่านั้น
THE LAW OF EFFORT AND RESULT
กฏความสัมพันธ์ของ ความพยายามและผลลัพท์
"The law of effort and result states that every action must have an equal and opposite reaction. The effort is represented by volume, while the result is represented by price. This means that the price action must reflect the volume action. Without effort there can be no result."
สำหรับตลาดหุ้น ความพยายามนั้นแสดงออกมาในรูปของ Volume ในขณะที่ผลลัพท์นั้นคือการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น ซึ่งนั่นหมายความว่าทั้งสองอย่างนี้ต้องสัมพันธ์กัน กล่าวคือ ถ้า Volume มา ราคาต้องวิ่ง ราคาจึงไม่ใช่สิ่งเดียวที่สำคัญ ปริมาณการซื้อก็สำคัญเช่นกัน บางทีอาจจะสำคัญกว่าราคาด้วยซ้ำ เพราะปริมาณการซื้อขายนั้นคือจำนวนหุ้นที่เกิดการเปลี่ยนมือ ดังนั้นการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของปริมาณการซื้อขายเป็นสิ่งที่บอกว่ามีรายใหญ่อยู่ในตลาดหรือไม่
ถ้าปริมาณการซื้อขายกับราคาไปในทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ Volume มาราคาวิ่ง แสดงว่าการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนั้นแข็งแรงมีนัยยสำคัญ แต่เมื่อใหร่ก็ตามที่ทั้งสองอย่างนี้ขัดแย้งกันเช่น Volume มาแต่ราคาไม่วิ่ง หรือราคาวิ่งแต่ Volume น้อย นั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความเปราะบางหรือมีความผิดปกติของการเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ
แท่งเทียน คือผลลัพท์ของการต่อสู้ระหว่างฝ่ายซื้อและฝ่ายขายที่เกิดขึ้นภายใต้กรอบเวลาที่กำหนด การวิเคราะห์ คือการตีความความสัมพันธ์ของขนาดแท่งเทียนกับปริมาณการซื้อขายว่ามันกำลังสื่อให้เห็นถึงอะไร
วิเคราะห์แท่งเทียนเป็นรายแท่ง โดยวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างแท่งเทียนกับ Volume ทีละแท่งโดยหาก Volume เพิ่มขี้นและขนาดแท่งเทียนยาวขึ้นตาม ถ้าทั้งคู่มีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกัน หรือ Harmony ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่หาก Volume เพิ่มขี้นแต่ขนาดแท่งเทียนหดเล็กลง หรือแท่งเทียนยาวขึ้นแต่ Volume หดเล็กลง นั่นแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกัน หรือ Divergence
การวิเคราะห์แท่งเทียนแบบกลุ่ม หากกลุ่มของแท่งเทียนยกตัวสูงขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ นั้นแสดงว่าราคากับปริมาณการซื้อขายกับราคาสัมพันธ์กันหรือ Harmony แต่หากแท่งเทียนยกตัวสูงขี้นแต่ปริมาณการซื้อขายกลับลดลงซึ่งแสดงให้เห็นว่าราคากับปริมาณการซื้อขายนั้นขัดแย้งกันหรือ Divergence
การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายที่เกิดขึ้นในแต่ละ wave
หลักการทั่วไปคือ เปรียบเทียบปริมาณการซื้อขายระหว่างคลื่นขึ้นกับคลื่นลง ถ้าปริมาณการซื้อขายในช่วงคลื่นขึ้นสูงกว่าปริมาณการซื้อขายในช่วงคลื่นลง แสดงว่าราคากับปริมาณการซื้อขายสัมพันธ์กัน แต่ถ้าปริมาณการซื้อขายในช่วงคลื่นลงสูงกว่าในช่วงคลื่นขึ้น นั่นแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งกันของราคากับปริมาณการซื้อขาย
การวิเคราะห์ราคากับปริมาณการซื้อขาย ณ จุดสำคัญ
หลักการคือ วิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายในจุดสำคัญ ๆ เช่นแนวรับ แนวต้าน เป็นต้น หากราคาเบรคจุดสำคัญพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มมากขึ้น แบบนี้ถือว่าราคากับปริมาณการซื้อขายสัมพันธ์กัน แต่หากการเบรคนั้นมีปริมาณการซื้อขายที่น้อยแบบนี้ถือว่าราคาไม่สัมพันธ์กับปริมาณการซื้อขาย
PART 4 - THE PROCESSES OF ACCUMULATION AND DISTRIBUTION